วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

Joan of Arc




ยุค Joan of Arc มีคำทำนาย Maid of Lorraine ไทยมีตำนานนารีขี่มัาขาวกู้เมืองยามสิ้นหวัง

พอดีสถานการณ์การเมืองไทยช่วงนี้เป็นช่วงสงครามสนามเพลาะ การบุกไปมาแม้รบรุนแรงแค่ไหนมันก็ไม่ใช่สงครามชี้ขาดชัยชนะได้ ดังนั้นการรุกกันไปมา ก็ไม่ทำให้ฝ่ายไหนชนะเด็ดขาดได้ในช่วงนี้ เพราะยังไม่มีฝ่ายใดอ่อนกำลังลง จนอีกฝ่ายหนึ่ง ปราบได้โดยไม่วุ่นวายตามมาอีก"

ผมเลยดูหนังเรื่อง Joan of Arc มันมี 3 Versions คือ ปี 1948(Ingrid Bergman), 1999(Leelee Sobieski) , 1999 (Milla Jovovich) ผมชอบเวอร์ชั่นที่ leelee แสดงเป็น Joan เพราะดูทั้ง Soft หนักแน่น กล้าหาญ และอายุก็ดูตรงตัวจริงของ Joan ด้วย คือ 17 ปี ส่วนเวอร์ชั่น Jovovich แสดงนั้นดูเหมือนจะมีอารมณ์รุนแรงมากเกินไป ไม่เหมาะสมกับที่ Joan เป็นคนเคร่งศาสนาและมีเมตตาเลย

ผมสงสัยว่า Joan of Arc ทำไมถึงดังนัก ก็แค่คนที่ถูกจับเผาข้อหาแม่มดเท่านั้น เคยอ่านหลวงวิจิตรวาทะการเขียนถึง แต่มันไม่ได้เร้าอารมณ์มากมาย จนได้เป็นถึงนักบุญ แต่พอไปอ่านประวัติจริงๆ เข้า ถึงรู้ว่าทำไม Joan of Arc ถึงได้ดังตลอดประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่ยุค Medieval หรือยุคกลางมาเลย ไม่เคยมีสตรีคนใดดังเท่า ประวัติ Joan of Arc ฝรั่งสรุปว่า เป็นทั้งวีรสตรีในตำนานและตัวจริง นักรบในสงครามกู้ชาติ เชลยศึก คนถูกกดขี่ เฟมินิสต้นแบบ และถูกเผาทั้งเป็น และเป็น Saint หรือนักบุญของโรมันคาทอลิก ทั้งหมดเกิดขึ้นกับสาวน้อยลูกชาวนา ไม่มีการศึกษา อ่าน-เขียนไม่ได้ และอายุ 19 ปี เท่านั้น และเกิดขึ้นเพียงในเวลา 2 ปี ที่เธอปรากฎตัวในประวัติศาสตร์ และตายจากถูกเผา แต่เธอคือคนที่ทำให้เกิดชาติฝรั่งเศสปัจจุบัน และ Turn the tide ในสงคราม 100 ปี ที่ฝรั่งเศสหมดหวังและคาดว่าจะสูญชาติแล้ว

เล่าเรื่องสักนิดนะครับ

ฝรั่งเศสในปีที่ Joan of Arc เกิดคือ ปี ค.ศ. 1412 นั้น กำลังหมดหวังดำมืดเพราะทำสงคราม 100 ปีกับอังกฤษ ในสิทธิการครองบัลลังค์ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสโดนยึดไปครึ่งประเทศแล้ว และแพ้สงครามครั้งใหญ่อย่างย่อยยับที่ศึก Agincourt ที่รบกับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ของอังกฤษ ผู้ใช้ Longbow เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ พวกอัศวินฝรั่งเศสตายไปถึง 12,000-15,000 คน ส่วนอังกฤษตายประมาณ 100 กว่าคนเท่านั้น แพ้ครั้งนั้นฝรั่งเศสก็ฟื้นตัวไม่ได้ ในปี 1428 อังกฤษกำลังล้อมเมือง orleans เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญหากถูกยึด ฝรั่งเศสจะถูกยึดทั้งประเทศในที่สุด สภาพการเมือง สงครามสิ้นหวัง ตอนนั้นฝรั่งเศสไม่มีกษัตริย์ เพราะรัชทายาท ไม่สามารถไปสวมมุงกุฏในโบถส์ที่เมือง Reims ในเขตยึดครองอังกฤษได้ ทำให้ไม่สามารถเป็นกษัตริย์ที่สมบูรณ์ ขาดการยอมรับ

ตอนนั้นนักประวัติศาสตร์เขาบอกว่า มีเพียงสิ่งเดียวจะช่วยฝรั่งเศสให้รอดได้คือ "ปาฎิหาริย์" เท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นใดเลย แต่อยู่ๆ ก็มี "สาวน้อยลูกชาวนาวัย 17 ปี" ควบม้าออกมาจากเงามืดของชายแดน ปลุกความหวังของคนทั้งชาติ เธอคือ Joan of Arc ซึ่งจริงๆ ช่วงเวลานั้นก็มีคำทำนายร่ำลือกันเป็นร้อยปีก่อนหน้านั้นของพ่อหมด เมอร์ลินส์ว่าจะมี Maid of Lorraine ควบม้าออกมาจากป่าโอ๊ค มาช่วยกอบกู้ฝรั่งเศสไว้

เหมือนตำนานนารีขี่ม้าขาวของไทย ที่เมื่อนายกฯปูปรากฎตัวออกมา มันก็สอดคล้องกับตำนานพอดี

Joan of Arc ปรากฎตัวออกมาช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีตามคำทำนายในตำนาน ต่อจากนั้นก็ทำสงครามปลดปล่อยเมืองออลีนส์ และทำศึกชนะในสงครามชี้ขาดที่ Patay เป็นจุดเปลี่ยนในสงครามร้อยปี แต่เธอถูกจับโดยชาวเบอร์กันดี และขายให้อังกฤษ ที่สนับสนุนให้คริสจักรไต่สวนพิพากษาในฐานะแม่มดและคนนอกรีต ในที่สุดก็ถูกเผาทั้งเป็น แต่ในอีก 20 ปีต่อมา เมื่อพระเจ้าชาร์ญที่ 7 ที่ Joan พาไปสวมมงกุฎที่เมือง Reims สามารถไล่อังกฤษออกไปได้หมด ก็ร้องเรียนต่อ สันตปาปาให้ตั้งศาลสอบสวนใหม่ และศาลยกคำพิพากษาของ Joan ก่อนหน้าทั้งหมด และตัดสินว่าเธอเป็น martyr ไม่ใช่แม่มดหรือคนนอกศาสนา ตำนานของเธอโด่งดังมากตั้งแต่วันเธอตาย และเป็นกำลังใจยามฝรั่งเศสสิ้นหวังมาตลอด 500 ปี และในปี 1920 สันตปาปาที่กรุงโรม ก็ประกาศว่า Joan of Arc เป็นนักบุญผู้คุ้มครองฝรั่งเศส

นักประวัติศาสตร์สงสัยกันมากมายว่า หญิงสาวชาวนาอายุ 17 ปี ไม่มีการศึกษา เป็นแม่ทัพรบชนะได้อย่างไร เธอไม่ใช่แค่ยืนเป็นกำลังใจ แต่บัญชาการศึกเองด้วย และตอนที่มีการตั้งศาลไต่สวนที่มีเอกสารการบันทึกอย่างสมบูรณ์ที่สุดในยุค กลางนั้น Joan สามารถตอบคำถามของพวกทนายที่เป็นนัก Theologian โดยไม่เสียเปรียบเลยได้อย่างไร เธอไม่มีทนายด้วย เพราะอยุ่ในเขตยึดครองอังกฤษ และอังกฤษก็ต้องการหาทางจับผิดเพื่อเผาเธอให้ได้ เพราะเธอคือตัวสำคัญในการสร้างจุดเปลี่ยนของสงคราม

ตำนานโจนออฟอาร์ค ที่มีตำนาน Maid of Lorraine แพร่หลายก่อนเธอปรากฎตัวในประวัติศาสตร์ ทำให้ประชาชนที่สิ้นหวัง หมดทางออกนั้นยอมรับได้อย่างทันทีเมื่อเธอปรากฎตัวขึ้นมา

แต่ก็ไม่ใช่ว่า เป็นสตรีในตำนานแล้วจะรบชนะทันทีนะครับ เธอต้องไปทำศึกเอง ปลุุกทหารออกรบเอง นำหน้าทหารเข้าทำสงครามเอง และ "ยืนกราน" ในเป้าหมาย ยามเมื่อถูกสงสัยหรือคัดค้านจากพวก "ผู้มีอำนาจหัวโบราณ" แม้ทัพที่ไม่ยากจะยอมรับคำสั่งสาวชาวนาอายุ 17 ปี ที่ไม่เคยรบได้

ประเทศไทยเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นารีขี่ม้าขาวเช่นกัน เรามีคำทำนายเป็นตำนานมาก่อนหน้านี้เช่นกัน บ้านเมืองวุ่นวายเหมือนฝรั่งเศสยุคนั้นเช่นกัน

หวังว่าในที่สุดแล้ว "นารีขี่ม้าขาว" จะนำประชาชนเข้าสู้กับพวกอำมาตย์จนบรรลุฟ้าสีทองผ่องอำไพได้เช่นกันนะครับ เมื่อเป็นบุคคลในตำนาน นายกฯปูก็ต้องเข็มแข็ง เด็ดเดี่ยวยืนกรานในเป้าหมาย ไม่ท้อถอยยามที่ประชาชนคนอื่นๆ ท้อถอยหมดหวัง

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ต้นปีกแมลงสาบ,ปีกนางฟ้า รักษาโรคมะเร็งตับ

...













 เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนเป็นมะเร็งตับ อยู่ระหว่างการรักษาตามแผนปัจจุบัน อาการปัจจุบันที่ทานยาแล้วไม่หายคือ ท้องบวม เหมือนคนท้อง
เคยsearchดูพบว่า หญ้าปักกิ่งจะรักษาได้ แต่ ปีกแมลงสาบนี้ได้มาจาก หมอแผนไทยต่างจังหวัด ได้เบอร์มา โทร.จะพาเพื่อนไปรักษา เค้าบอกไม่ต้องมาให้รีบไปหามาทานช่วยลดอาการบวมได้  เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งค่ะ แต่มันหมดทางแล้ว   เจ้าตัวก็ OK ก็เลยหาไปให้ค่ะ ขับรถตระเวณและเดินหา ตามตลาดต้นไม้ใหญ่ เจเจ , บางใหญ่  ไม่น่าเชื่อ หายากจัง งง เลย ได้ที่บางใหญ่หาริมถนนก่อน แล้วถึงเข้าซอย ได้มาแค่ 2 กระถางใหญ่ๆๆเมื่อวันอาทิตย์ที่30มิ.ย.56  เริ่มกินวันจันทร์  วันอังคารที่ 2 เพื่อนโทรมาบอกว่า อาการบวมหายไปแล้ว ท้องแบนอาการแน่นก็หาย ร่างกายกระปรี้กระเปร่า  ดีใจกันทั้งหมด ก็เลยสั่งไว้อีก 5 กระถาง แต่ติดงาน ไปเอาอีกทีวันอาทิตย์มีคนเอาไปแล้วเอาไปก่อนหน้าเรา แป๊บเดียว คนขายวิ่งตามรถที่พึ่งซื้อไปให้ ไม่ทัน กลิ่นรถยังไม่ทันจาง เพราะคิดว่าเราไม่เอาแล้ว เราผิดเอง
สูตรนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลไม่มีการรับรองใดๆๆทั้งสิ้น แค่ กินแล้ว หายบวม อาการทุเลา มีแรงที่จะทำการรักษาต่อไปเท่านั้น

พวกเรายินดีรับความเสี่ยงเอง แค่ขอ ต้นปีกแมลงสาบ เท่านั้นเอง
ขอให้ส่งมาที่   aeang   98 พระราม3เรสซิเดนท์ ชั้น 20
แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120


ความคิดเห็นที่ 21
เรียนทุกท่าน คนป่วย หายแล้วค่ะ
ตรวจไม่เจอเชื้อแล้วค่ะ ไม่รู้ทำไม ดีใจค่ะ
















การทำนา

...
  
ทำนา หลักๆ มีสามวิธี แบบนาดำ แบบนาหว่าน แบบนาโยน
เอาแบบวิธีง่ายสุด นาหว่าน
แรกเลยเตรียมดิน
ไถกลบซังหรือวัชพืช ......จ้าง
ไถย่ำลูกทุบย่ำซังหรือวัชพืชให้จมดิน.....จ้าง
ไถตีเลนทำเทือก แหวก ร่องทางน้ำ.....จ้าง
ฉีดคุมเลน ส่วนมากใช้โปรฟิต คุมเม็ดหญ้าก่อนงอก.....จ้าง
เตรียมหว่าน
ซื้อพันธุ์ข้าว.....เสียตังค์   เตรียมข้าว.....เสียตังค์
แช่ข้าวงอกคัดเม็ดลีบ.....หนึ่งคืน
เอาน้ำออก หมักให้รากยาว  คืนครึ่ง.....
สองคืนใช้เครื่องยิงหว่านไม่ได้รากยาวไป ติดในท่อเครื่องยิงหว่าน
หว่าน.....จ้าง
สามวันเอาน้ำเข้าท่วมข้าว
สิบวันฉีดยาคุมข้าว เพื่อให้เมล็ดวัชพืชที่ รอดจากการคุมเลนครั้งแรกตาย.....จ้าง
อีกห้าวัน พ่นปุ๋ยยูเรีย  .....จ้าง ซื้อปุยยูเรีย ไร่ละลูก ลูกละ 600 บาท
เช็คระดับน้ำ ไม่ให้ต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป
หาแหนแดงมาหว่านคลุมน้ำไม่ให้น้ำตากแดดร้อนเกินไป.....จ้าง
ข้าวเริ่มแตกกอ ทำไตรคอเดอม่ากันรา ขยายเชื้อในข้าวสุก มาหว่าน ...จ้าง
เช็ดระดับน้ำตลอด ฉีดยาฆ่าหญ้า จ้างคนถอนข้าวดีด .....จ้าง
ใส่ปุ๋ย สองตัวหน้า N กับ P  ตัวท้าย K เป็น ศูนย์ ......จ้าง
ข้าวเริ่มพุ่ง เพลี้ยเริ่มมา
ถ้าเพลี้ยเยอะ ฉีดยาอีก  .....จ้าง
เตรียมเกี่ยว
เกี่ยว  .....จ้าง

ลองดูครับ ว่าเราทำเองได้ตอนใหน
นี่เป็นขั้นตอนพื้นฐานเท่านั้นนะครับ จริงๆแล้วยังมีรายละเอียดอีกเยอะครับ
ตั้งแต่เลือกพันธุ์ข้าวปลูก ต้องควรจะเป็นพันธุ์เดียวกันกับนาเพื่อนบ้าน
ไม่งั้นข้าวจะกลายพันธุ์ไปหมดทั้งทุ่ง ได้น้ำหนักผิดไปจากความเป็นจริงครับ
เลือกยาที่ใช้ฉีด ควรต้องเป็นตัวเดียวกันกับนาข้างๆ
ต้องทำพร้อมกัน เวลาเกี่ยวจะได้นัดรถเกี่ยวมาเกี่ยวพร้อมๆกัน เป็นร้อยไร่
ห้าไร่เค้าจะบอกว่าถ้าผ่านไปจะไปเกี่ยวให้ ครับ     .....สารพัด ครับ
ถ้าไม่มีประสพการ แนะนำว่าให้เค้าเช่า
แล้วตกลงค่าเช่ากัน จะสะดวกที่สุดครับ


ทั้งหมดนี้เป็นวิธีทำนาหว่านของ อำเภอโพธาราม ราชบุรี ครับ

   กา  คาบพริก  จาก พันทิพ

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีปราบยุงง่ายๆ ได้ผลดี


...

ช่วงนี้ ไข้เลือดออกระบาด ไปเจอข้อมูลกับดักยุงรักษาสิ่งแวดล้อม เห็นว่าเป็นประโยชน์ เลยนำมาฝากค่ะ  :)

สิ่งที่ต้องการ:
1. น้ำ ครึ่งแก้ว
2. น้ำตาลทรายแดง หนึ่งช้อนโต็ะ
3. ยีสต์ 1 กรัม(ยีสต์ทำขนมปัง ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วๆไป) และ
4. ขวดพลาสติกใส (ขวดน้ำอัดลม) 1.5 ลิตร หรือ 2 ลิตร
5. กระดาษสีดำหรือสีทึบ 1แผ่น

วิธีการ:
1. ตัดขวดพลาสติก เป็นสองส่วน เก็บส่วนคอเอาไว้
2. ผสมน้ำตาลกับน้ำร้อน ปล่อยให้เย็น เมื่อเย็น เทลงก้นขวด
3. ใส่ยีสต์ลงไปในน้ำผสมน้ำตาลกับน้ำร้อน ไม่ต้องคน มันจะสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
4. วางส่วน คว่ำ กรวยที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของขวดสวมกลับไปที่ฐาน ผันเทปกาวให้ติดกันสนิทตามรูป
5. ห่อด้วยกระดาษสีดำหรือสีทึบ 
6. นำไปวางในที่มืด ตามมุมบ้านของคุณ หรือสวนหลังบ้าน 

ในสองสัปดาห์ คุณจะเห็นจำนวนยุงและยุงที่ตายภายในขวด
ใช้วิธีนี้มีประโยชน์มากใน โรงเรียน โรงพยาบาล บ้าน ranches ฟารม์ ฯลฯ โดยที่ไม่ต้องฉีดหรือผ่นสารเคมีซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และครอบครัวค่ะ

ลองทำกันดูนะคะ ^o^

ชอบใจเนื้อหาในเพจสุขภาพของเรา ฝากกด "LIKE" ที่หน้าแฟนเพจ 

ติดตามข้อมูลสุขภาพที่ Be Healthy นำมาแบ่งปันให้ทุกวัน ได้ที่
== > https://www.facebook.com/behealthyonline
เป็นกำลังใจและช่วยกันดูแลสุขภาพที่ดีให้กันและกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ :)

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ Teerayut Unsorn, Paolo Memorial Hospital




ช่วงนี้ ไข้เลือดออกระบาด ไปเจอข้อมูลกับดักยุงรักษาสิ่งแวดล้อม เห็นว่าเป็นประโยชน์ เลยนำมาฝากค่ะ :)

สิ่งที่ต้องการ:
1. น้ำ ครึ่งแก้ว
2. น้ำตาลทรายแดง หนึ่งช้อนโต๊ะ
3. ยีสต์ 1 กรัม(ยีสต์ทำขนมปัง ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วๆไป) และ
4. ขวดพลาสติกใส (ขวดน้ำอัดลม) 1.5 ลิตร หรือ 2 ลิตร
5. กระดาษสีดำหรือสีทึบ 1แผ่น

วิธีการ:
ตัดขวดพลาสติก เป็นสองส่วน เก็บส่วนคอเอาไว้
ผสมน้ำตาลกับน้ำร้อน ปล่อยให้เย็น เมื่อเย็น เทลงก้นขวด
ใส่ยีสต์ลงไปในน้ำผสมน้ำตาลกับน้ำร้อน ไม่ต้องคน มันจะสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
วางส่วน คว่ำ กรวยที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของขวดสวมกลับไปที่ฐาน ผันเทปกาวให้ติดกันสนิทตามรูป
ห่อด้วยกระดาษสีดำหรือสีทึบ 
นำไปวางในที่มืด ตามมุมบ้านของคุณ หรือสวนหลังบ้าน


ในสองสัปดาห์ คุณจะเห็นจำนวนยุงและยุงที่ตายภายในขวด
ใช้วิธีนี้มีประโยชน์มากใน โรงเรียน โรงพยาบาล บ้าน ranches ฟารม์ ฯลฯ โดยที่ไม่ต้องฉีดหรือผ่นสารเคมีซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และครอบครัวค่ะ

ลองทำกันดูนะคะ ^o^
ติดตามข้อมูลสุขภาพที่ Be Healthy นำมาแบ่งปันให้ทุกวัน ได้ที่


เป็นกำลังใจและช่วยกันดูแลสุขภาพที่ดีให้กันและกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ :)

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ Teerayut Unsorn, Paolo Memorial Hospital


วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความลับของมือถือ ที่เราไม่รู้


...

ความลับของมือถือ ที่เราไม่รู้ เพราะคนขายไม่บอก

ใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือตั้งใจอ่า
นดีๆ อ่านจบแล้วจะรู้ว่ามือถือไม่ได้มีไว้สำหรับ โทรเข้า-โทรออกเท่านั้น
แต่ยังมีเคล็ดลับที่เพื่อนๆยังไม่รู้ซ่อนไว้อยู่
ถ้าอยากรู้ว่ามีไรอะไรบ้าง
ลองเข้ามาดูกัน

1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่ม
ก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้ว

2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ... สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ (เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขาให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
(คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม) ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง ระยะทางไม่มีปัญหาแม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม

3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด *3370# สำหรับมือถือ Nokia
ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด *3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรอง นี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป

4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15-17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้กด *#06# แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี....ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่ดี แบบนี้สะใจดีโดยเฉพาะพวกที่ชอบโขมยมือถือ

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รถ 1 คันที่ซื้อ..เราจ่ายภาษีกันเท่าไร ?

...

รถ 1 คันที่ซื้อ...เราจ่ายภาษีกันเท่าไร ?

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


โครงสร้างการคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทย จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ

การ คิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost+Insurance+Freight) ซึ่งก็คือ ราคาขายของรถบวกด้วยค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศ มาถึงที่ท่าเรือที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า ในที่นี้สมมติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะประกอบไปด้วย

1.อากรขาเข้า ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือก่อนนำรถออกจากท่าเรือเข้ามาในประเทศ ในอัตรา 80% ของราคา CIF ซึ่งเท่ากับ 80 บาท

2.ภาษี สรรพสามิต ซึ่งกรมศุลกากรจะเก็บภาษีนี้พร้อมกับอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตนี้จะถูกเก็บในอัตราต่างกันตั้งแต่ 30-50% ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 30% ของราคา CIF รวมกับภาษีอากรขาเข้า โดยใช้สูตรการคำนวณการจัดเก็บ ที่เรียกว่า "ฝังใน"

คือ = {(100+80)x30%} 1-(1.1x30%)

3.ภาษี มหาดไทย ชื่อภาษีมีที่มาจากภาษีที่เก็บได้นี้ถูกนำไปบริหารประเทศโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งภาษีมหาดไทยจะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย

4.ภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% ของราคา CIF+อากรขาเข้า+ภาษีสรรพสามิต+ภาษีมหาดไทย

ซึ่ง เมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว จากราคารถสมมติที่ 100 บาท จะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท (ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่น ๆ ของบริษัทผู้จำหน่าย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอกมาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท เพราะภาระภาษีมันสูงเช่นนี้นี่เอง

กรณีที่ 2 รถที่ผลิตในประเทศไทย

ผู้ ผลิตจะนำชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาจากต่างประเทศเป็นบางรายการ
1.อากรขาเข้า จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่กรมศุลกากรกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดหรือพิกัดของชิ้นส่วนนั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคา CIF ถ้าใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศทั้งหมดก็จะไม่เสียภาษีในส่วนนี้

2.ภาษี สรรพสามิต (อันนี้นี่แหละที่เขาจะคืนให้สำหรับรถคันแรก) จะถูกจัดเก็บอัตราเดียวกับการนำเข้ารถทั้งคันจากต่างประเทศ โดยคำนวณจากราคาหน้าโรงงาน และกรมสรรพสามิตจะพิจารณารับราคาหน้าโรงงานนี้ไม่ต่ำกว่า 76% ของราคาขายปลีกที่ขายให้กับผู้บริโภค คือ ถ้าราคาขายปลีกอยู่ที่ 100 บาท (รถยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี) ก็จะใช้ราคาหน้าโรงงานที่ 76 บาทมาคำนวณตามสูตร "ฝังใน" เพื่อให้ได้ภาษีสรรพสามิต

3.ภาษีมหาดไทย คิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย

4.ภาษี มูลค่าเพิ่ม 7% กรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บ เหมือนกรณีที่ 1 สมมติให้รถขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคารถหน้าโรงงานอยู่ที่ 100 บาท ภาษีสรรพสามิตก็จะอยู่ที่ 80.60 บาท บวกด้วยภาษีมหาดไทย 8.1 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 13.2 บาท ก็จะได้ราคาขายปลีกเท่ากับ 201.9 บาท หรือถ้าคิดในมุมกลับภาษีรวมของรถที่ผลิตในประเทศจะมีมูลค่าประมาณ 40-70% ของราคาขายปลีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ ยิ่งปริมาตรกระบอกสูบมาก มูลค่าภาษีก็จะสูงตาม

ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อรถที่ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ในราคา 7 แสนบาท หมายความว่า เราได้จ่ายภาษีให้รัฐประมาณ 2.8-3 แสนบาท

ในขณะที่ภาษีรวมของรถนำเข้าจะคิดจากราคาขายปลีกไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รวมกำไรและค่าดำเนินการของผู้นำเข้า ฉะนั้นต้องคิดจากราคาทุน ซึ่งจะมีมูลค่าภาษีอยู่ที่ประมาณ 200-300% ของราคาต้นทุน

สรุปให้เห็น ง่าย ๆ ก็คือ 
รยนต์ 1 คัน จะต้องเสียภาษี
1. ชิ้นส่วนอะหลั่ย ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
2. ภาษีสรรพสามิต ของรถทั้งคัน ไม่ต่ำกว่า 76 % ของราคาขาย
3. ภาษีมหาดไทย คิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือVAT. 7 %


รัฐ คืนให้เฉพาะ ภาษีสรรพสามิต ที่ผู้ซื้อจ่าย ไปก่อนแล้วขณะที่ซื้อ
และจะได้รับคืน หลังจากจดทะเบียนและครอบครองรถ ไปแล้ว 1 ปี
โดยมีเงื่อนไข ห้ามโอนก่อน 5 ปี
คืนภาษีสรรพสามิต ตามจำนวนผู้ซื้อ 
ผู้ซื้อจำนวนมาก  ก็ต้องจ่ายคืนมาก
ผู้ซื้อจำนวนน้อย  ก็จ่ายคืนน้อย
ไม่มีผู้ซื้อ รัฐไม่ต้องจ่ายคืน  แต่จะขาดรายได้ ภาษีตัวอื่น
รัฐไม่ต้องชักเนื้ออะไร ? เพราะเป็นเงินของผู้ซื้อ ที่คืนให้ 
แถมยังได้ดอกเบี้ย อีก 1 ปี เข้ารัฐ ก่อนจ่ายคืน

นโยบายรัฐบาล คืนภาษีรถยนต์ใหม่คันแรก เป็นนโยบายที่ประสพความสำเร็จดียิ่ง
มีจุดประสงค์ใหญ่ก็คือ กระตุ้นเศรฐษกิจในด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมรถยนต์  ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา  ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากและทำท่าจะซบเซาลง  เพราะ แรก ๆ ได้ข่าวว่าจะย้ายฐานไปที่อื่นกันและก็ได้ผล ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ หลายค่าย เพิ่มการลงทุน ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยมีการจ้างงานเพิ่มขื้น   คนงานมีรายได้เพิ่มขึ้น  รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่ว่าชิ้นส่วนอะหลั่ยต่าง ๆ ที่ผลิตในประเทศ  อุปกรณ์ตบแต่งรถ รวมทั้งเครื่องหนัง พลาสติก เบาะรถยนต์ เป็นต้น ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจ ก่อสร้างก็ได้รับผลดีไปด้วย และเศรฐกิจโดยรวมก็ย่อมได้รับผลดีไปด้วย เมื่อประชาชนมีรายได้ดี ก็ย่อมมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และรัฐก็จัดเก็บภาษีได้

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อัตราค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงของไทย


...
 ไทรัฐ  26 ส.ค. 55

ประเทศไทยกำลังจะมี 'ม้าเหล็ก' ความเร็วสูงใช้
กระทรวงคมนาคมเตรียมเร่งรัดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 5 เส้นทาง ประกอบด้วย 
กรุงเทพฯ-เชียงใหม่,
กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี,
กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย
กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ และ
กรุงเทพฯ-ระยอง 

สายเหนือ
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-นครสวรรค์ (หนองปลิง)
เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 12 นาที ค่าโดยสาร 384 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-พิษณุโลก
เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 54 นาที 36 วินาที ค่าโดยสาร 611 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-เด่นชัย เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 38 นาที ค่าโดยสาร 845 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-เชียงใหม่ เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 43 นาที 48 วินาที ค่าโดยสาร 1,190 บาท

สายตะวันออกเฉียงเหนือ:
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-นครราชสีมา เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 16 นาที ค่าโดยสาร 410 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-ขอนแก่น เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 13 นาที ค่าโดยสาร 709 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-หนองคาย เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 4 นาที ค่าโดยสาร 984 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-สุรินทร์ เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 3 นาที ค่าโดยสาร 661 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-อุบลราชธานี เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 51 นาที ค่าโดยสาร 912 บาท

สายใต้: 
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-หิวหิน เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 6 นาที ค่าโดยสาร 360 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-แม่กลอง-หิวหิน เวลาเดินทาง 0 ชั่วโมง 55 นาที  ค่าโดยสาร 295 บาท 
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-สุราษฎร์ธานี เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 14 นาที ค่าโดยสาร 1,037 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-หาดใหญ่ เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง 41 นาที ค่าโดยสาร 1,499 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางบางซื่อ)-ปาดังเบซาร์ เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง 54 นาที ค่าโดยสาร 1,571 บา

สายตะวันออก: 
กรุงเทพ (สถานีกลางมักกะสัน)-ฉะเชิงเทรา-ระยอง เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 6 นาที ค่าโดยสาร 350 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางมักกะสัน)-บางปะกง-ระยอง เวลาเดินทาง 0 ชั่วโมง 58 นาทีี ค่าโดยสาร 305 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางมักกะสัน)-ฉะเชิงเทรา-จันทร์บุรี เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 39 นาที ค่าโดยสาร 530 บาท
กรุงเทพ (สถานีกลางมักกะสัน)-ฉะเชิงเทรา-อรัญประเทศ เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที ค่าโดยสาร 400 บาท